ชนะวิทย์ ฉายแสง ชีวิตเพื่อลูกหนังเมืองแปดริ้ว

จำไม่ได้ว่า "ปลากัดนักสู้" เริ่มพัฒนารุดหน้าอย่างก้าวกระโดดคือเมื่อไหร่ มันคงเริ่มต้นมาเมื่อ 7 ปีก่อน ตั้งแต่ วุฒิพงศ์ พี่ชายตระกูลฉายแสง มอบหมายงานสำคัญให้น้องชาย ชนะวิทย์ มาทำทีมฟุตบอลประจำจังหวัดที่กำลังอยู่ในภาวะซบเซา

 

 

7 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่วันแรก สนามเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ยังเป็นเลนอยู่เลย ผมเข้ามาครั้งแรกเอาลูกรังมาปรับเกลี่ย ทำสนามใหม่ ทำด้วยใจที่คิดว่าต้องทำอะไรบ้าง มีเพื่อน ๆ เข้ามาช่วย ปรับกันมาจนมาเล่นดิวิชั่น 2 ครั้งแรกก็พอเล่นได้ ปีถัดๆ มาเราก็พัฒนาเรื่อยๆ" ชนะวิทย์ เล่าถึงวันแรกสุดที่เข้ามาทำทีมจริงจังให้สื่อ SPSTH

 

จากผลงานที่ค่อนไปทางกลางตาราง แต่ด้วยความตั้งใจจริง และมีจุดยืนที่เด่นชัดค่อยๆ พา "ปลากัด" เริ่มทำผลงานดีขึ้นตามลำดับ กระทั่งปี 2014 ที่ทีมต่อเติมไฟส่องสว่างสนามเพื่อปรับเวลาเตะเย็นขึ้น และนั่นกลายเป็นปรากฎการณ์คลื่นศรัทธาแห่งวงการลูกหนังแห่งลุ่มน้ำบางปะกง ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "บิ๊กเก่ง" เล่าถึงที่มาที่ส่งทีมพัฒนารุดหน้าแบบก้าวกระโดดนับแต่นั้น "จุดพลิกผันก็คือการได้ไฟสนามจากเทศบาลเมืองฉะเชิงเทราจำนวน 17,500,000 บาท ทำให้คนมาดูตอนเย็นได้ นับแต่นั้นมายอดคนดูฉะเชิงเทรา เอฟซี ในตอนนั้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะหลายคนทำงาน เลิกงานก็ 4 โมงครึ่งแล้ว กว่าจะมาถึง เราปรับเวลาเป็น 6 โมงครึ่ง ทำให้เขาสะดวกในการมาดู"

 

"ช่วงบูมๆ สูงสุด บางนัดที่เราเช่าอัฒจันทร์มา 5,000-6,000 คนก็มี ตอนนั้นเช่าเพิ่ม ผมจำได้ผมโดนเดือนละแสน ค่าเช่าอัฒจันทร์ เราไม่อยากให้พี่น้องแฟนบอลเราไม่สบายในการดู เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ทีมด้วย เวลาออกไป สปอนเซอร์ผู้สนับสนุนต่าง ๆ จะได้เห็นว่าคนฉะเชิงเทราให้ความสำคัญหรือเชียร์ฟุตบอลเยอะ เวลาเราประสานงานต่างๆ ที่จะพัฒนาทีมจะทำได้อย่างรวดเร็ว"

อย่างไรก็ตามภายหลังขึ้นสู่ไทยลีก 3 โซนบน ด้วยมาตรฐานคู่แข่งที่เทียบทันกันขึ้น ส่งผลให้การเก็บผลชนะแต่ละนัดยากขึ้นเป็นเงาตามตัว การทุ่มเงินแลกผลงานดูจะเป็นเส้นทางที่ดูจะประสบความสำเร็จง่ายกว่า แต่ "บิ๊กเก่ง" มองการไกลกว่านั้น ด้วยการหว่านเมล็ดพันธุ์ สร้างเยาวชนตั้งแต่เนิ่นๆ โดยนายใหญ่ทัพ "ปลากัดนักสู้" พูดถึงวิสัยทัศน์ในการวางรากฐานที่ระบบอะคาเดมี่ "อะคาเดมี่ ทั่วโลกทำกัน ทั้งเมืองทอง บุรีรัมย์ เชียงราย ทำอะคาเดมี่หมด เพราะเด็กจะได้มีทัศนคติเชิงฟุตบอลแนวทางเดียวกับสโมสร และการฝึกซ้อม นิสัยใจคอ ดูระยะยาวว่าเด็กคนนี้พัฒนาการอย่างไรบ้าง เวลาขึ้นมาสู่ทีมไม่ต้องลองผิดลองถูก"

 

"ตรงนี้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย เพราะเด็กในพื้นที่ทุกคนได้แรงบันดาลใจ หลายคนได้ขึ้นสู่ชุดใหญ่ เงินเดือนมี อาจจะได้เรียนฟรีด้วย บางมหาวิทยาลัยรับไป พ่อแม่ชอบมาก เพราะลูกเรียนหนังสือด้วยแถมยังมาซ้อมบอลตอนเย็นได้ มีวิสัยทัศน์ในการเล่นคล้ายคลึงกัน ผมทำตรงนี้มา 5 ปีแล้ว ผลิดอกออกผลมาใน U19 ผมใช้ขึ้นสู่ชุดใหญ่ปีละคน 2 คนมาตลอด ปีที่แล้วก็ยึดตัวจริงได้เพิ่มอีก 2 คน ปีนี้น่าจะเพิ่มอีก 3-4 คนเลยผมมั่นใจ เพราะจากการลงทีมมา เด็กพวกนี้ไม่ได้ห่างเลย"

"บิ๊กเก่ง" เผยว่าตนยึดเอา โมเดล พานทอง เอฟซี เมื่อหลายปีก่อน เป็นแนวทางในการผลักดันทีมในช่วง 2-3 ปีหลัง โดยไล่ดูจากรายชื่อนักเตะในทีมชุดปัจจุบัน "ปลากัด" กลายเป็นทีมที่อุดมด้วยบรรดาเยาวชนเลือดแท้ที่พร้อมถลกแขนเสื้อลุยเพื่อสโมสรฯ บ้านเกิด นับ 10 ราย  "ผมทำทีมแบบสบายใจด้วยเพราะเด็กพวกนี้ไม่ดื้อ แถมเด็กพวกนี้มีเป้าหมายก็คืออยากเล่นไทยลีก อยากติดทีมชาติ แต่เราใช้เด็กอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอานักเตะที่มีประสบการณ์ มาผสมผสานให้ลงตัว เด็กไล่ ผู้ใหญ่เอาประสบการณ์ใส่ 2 อย่างรวมกันทำให้ทีมได้พัฒนาด้วย และทำให้ทีมมีอันดับที่ดีด้วย ผมไม่กลัวการโรเตชั่นนักเตะ หมุนจนกว่านักเตะพวกนี้จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่เราต้องประคองให้อยู่ในโซนที่ปลอดภัยด้วย ไม่ใช่ดิ้นรนหนีตกชั้นมันก็เครียดสำหรับคนทำทีม มันต้องควบคู่กันไป"

 

"ผมคิดว่าตอนนี้จังหวะการทำทีมของผมใกล้ลงตัว ถ้าเด็กพวกนี้แข็งแกร่งขึ้น เติมผู้เล่นต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาเติมเต็ม ผมคิดว่าเราจะก้าวสู่ไทยลีก 2 ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลา ใช้เงินน่ะมันง่าย ทุ่มกันพอเกิดปัญหาทีมก็ล้มหายตายจากไปก็เยอะ แต่เราทำบอลต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ทีมเราอยู่ยาวตลอดไปเพื่อให้บอลแปดริ้วอยู่คู่กับจังหวัดฉะเชิงเทรา"

 

"ใครจะสร้างทีมมา ผมก็ไม่ซีเรียส แต่แนวทางผมเป็นแบบนี้ คิดว่าปีนี้น่าจะเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น ฤดูกาล 2019 จะเห็นว่าเด็กพวกนี้ตอบโจทย์ได้แล้ว ผมทำทีมแบบสบายใจที่สุด ทุกคนอยู่ในโอวาท เป็นปีที่ทำบอลแบบผ่อนคลาย" นายใหญ่ "ปลากัดนักสู้" กล่าวอย่างอารมณ์ดี

"ปัจจุบันทีมงานก็ลงตัวหมด ใครถามว่าเปลี่ยนโค้ชไหม ไม่มีหรอกครับแปดริ้ว ไม่เปลี่ยน เพราะเขาช่วยสร้างผมมา ถามว่าถ้าขึ้นไทยลีก 2 หรือเลเวลสูงกว่านี้ ก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แต่อาจจะต้องเพิ่มนักฟุตบอลต่างชาติที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อจะพาทีมขึ้นชั้นเพราะว่าคนไทยเราใช้ได้แล้ว ตั้งเป้าไว้ว่า 2 ปีในการสร้างเด็กกลุ่มนี้ แต่ต้องมองเรื่องเงินด้วย เพราะต้องยอมว่าเศรษฐกิจช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่ดีเท่าไหร่"

 

ทั้งนี้ “บิ๊กเก่ง” ยืนยันกับสื่อ SPSTH ถึงอนาคตทำทีมว่า “ทุกวันนี้ทีมมันเป็นไปตามจินตนาการที่ผมวาดไว้ มันยั่งยืนแล้ว ทุกคนในองค์กรอยู่กันแบบพี่น้อง ครอบครัว ผมมีความสุขกับสโมสรฯ แห่งนี้ กับทุกคนที่ทำงานร่วมกัน และไม่เคยคิดที่จะเลิกทำทีมเลยสักวัน และต่อให้วันหนึ่งข้างหน้าผมแก่ตัวไปลงไป ทำไม่ไหวแล้ว ทีมนี้จะยังคงอยู่คู่บ้าน คู่เมือง ฉะเชิงเทรา ตลอดไป”