ดนุสรณ์ วิจิตรปัญญา : ไล่ ล่า กล้า ฝัน

 

“อดีตเราไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี มันผ่านไปแล้ว อยากให้มองที่ปัจจุบัน มุ่งไปอนาคต ทำตรงนี้ให้ดี ผมเชื่อว่ายังมีสิ่งดีๆ รอเราอยู่แน่นอนครับ” ดนุสรณ์ วิจิตรปัญญา นี่คือมุมมอง ของกองหน้า เมืองเลย ยูไนเต็ด ที่เกือบจะยุติเส้นทางความฝัน ตั้งแต่ไม่ทันจะเริ่ม สู่เรื่องราวการวิ่งไขว่คว้าโอกาสทางลูกหนัง แม้ตลอดเส้นทางมีอุปสรรคเข้ามาท้าทาย แต่นั่นไม่เคยทำให้เขาท้อแท้ได้เลยสักครั้ง ...

 

กับทีมบ้านเกิดในปัจจุบัน Cr.สโมสรฟุตบอล เมืองเลย ยูไนเต็ด

ลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวเกษตรกรใน อ.ท่าลี่ ชื่นชอบกีฬามาแต่เด็ก โดยเฉพาะกีฬาลูกหวาย ครั้งหนึ่ง รร.บ้านหนองบง ส่งแข่งฟุตบอลประจำอำเภอ ด้วยความที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กบนยอดเขา ทำให้ ดนุสรณ์ ติดทีมไปด้วย โชคชะตานำพาให้เขาระเบิดฟอร์มพาสถาบันสู่แชมป์ประวัติศาสตร์ เสียงชื่นชมจากคนทั้งหมู่บ้าน ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยิ้มได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นความรักที่เด็กคนนี้มีต่อเกมลูกหนัง

 

 

“จริงๆ ผมเป็นนักตะกร้อโรงเรียน แต่จริงๆ ผมก็เล่นเกือบทุกกีฬานะ เพราะโรงเรียนเราคนน้อย จำได้ว่าตอนนั้นจะไปแข่งฟุตบอลข้างนอกที ตัวมันก็ขาด ผมก็เลยติดทีมไปด้วย มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ ความโชคดี หรืออะไรก็เถอะ ผมได้โอกาสลงสนาม ทำประตูได้ ช่วยพาทีมจบตำแหน่งแชมป์”

 

 

“มันคือถ้วยแรกของโรงเรียนด้วยครับ ตรงนี้มันเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้รับจากกีฬาชนิดนี้ เสียงชื่นชมจากทั้งครู เพื่อนๆ คุณพ่อ มันทำให้ผมปลื้มมากๆ เลย”

 

สมัยวัยละอ่อน

ยิ่งชอบก็ยิ่งติดตาม และนั่นก็ส่งผลให้ ดนุสรณ์ ค้นพบว่าทีมในดวงใจเขาคือ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยที่ขวัญใจเบอร์ 1 เป็น รุด ฟาน นิสเตอรอย ที่ยิงระเบิด ณ ตอนนั้น “ต้องบอกว่าเมื่อก่อนบ้านผมค่อนข้างกันดารมากครับ อยู่บนเขา ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ถนนก็เป็นดินลูกรัง ก็อาศัยติดตามข่าวกีฬาตอนเช้า มันทำให้ผมปลื้ม รุด ฟาน นิสเตอรอย มากๆ ครับ เขาทำประตูได้มากมาย และ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมมากๆ”

 

อย่างไรก็ตามจินตนาการในโลกสมมุติของเด็กอายุไม่ 12 ขวบดี ก็พังทลายเมื่อคุณพ่อมาเสียด้วยโรคประจำตัว บวกกับพี่ๆ ออกไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว ทำให้ ดนุสรณ์ ต้องเรียนรู้ที่จะต้องดูแลครอบครัวนับแต่นั้น

 

“ครอบครัวเราเหลือกันแค่ 2 คน ผม กับแม่ เพราะพี่ๆ ออกไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว คือบ้านเราเป็นชาวไร่ ชาวนา ปลูกข้าวโพด ถั่วแดง เลี้ยงสัตว์ ทำให้ผมต้องช่วยแม่แบบจริงจังนับแต่นั้น ทำอย่างนั้นอยู่ปี 1 เต็มๆ พอมีเวลาว่างจากเรียนก็มาช่วยแม่ ทำแบบนั้นอยู่ตลอดไม่เคยหยุด พวกกีฬาที่เราเป็นตัวโรงเรียนมาตลอด คือผมไม่ได้มองแล้ว เอาแค่ผมกับแม่อยู่กันให้ได้ก่อน เพราะเรามีอยู่กันแค่นี้”

 

 

กระทั่งจบชั้นประถม ดนุสรณ์ พยายามหาทางให้ตัวเองได้เรียน แต่ก็กลัวคุณแม่จะลำบาก การที่จะเลือกเรียนต่อมัธยม เขาต้องออกจากครอบครัวมาไกลกว่า 60 กิโลเมตร เพื่อเข้ามาเรียนในตัวอำเภอ นั่นส่งผลให้นอกจากค่าเรียนแล้ว ยังต้องหาเงินมาจ่ายค่าหอพักอีก ยิ่งฐานะทางบ้านไม่สู้ดีนักด้วย นั่นทำให้เด็กอายุ 12 ปียอดกตัญญูรายนี้คิดหนัก “ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเรื่องเตะฟุตบอลอะไรแล้วครับ คิดแค่ว่าจะมีทางไหนที่จะช่วยให้เราเรียนจบมัธยม 6 แบบไม่ต้องลำบากคุณแม่มากนัก เอาแค่พอหางานทำต่อไปได้ เพราะผมไม่ได้อยากทำไร่ ทำนา อยู่แบบนี้”

 

หลังจากจับเข่าคุยกับคุณแม่อยู่นาน ท้ายสุด ดนุสรณ์ ตัดสินใจเข้าสู่ทางธรรม บวชเรียน ที่ดูจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งในเรื่องค่าใช้จ่าย และการศึกษา “วันนั้นผมตัดใจโกนผมโกนคิ้วเรียบร้อย พรุ่งนี้จะเข้าพิธีบวช คุณแม่เองท่านก็ซื้อสิ่งของทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว”

 

จะด้วยโชคชะตา หรืออะไรบางอย่างที่ทำให้ ดนุสรณ์ ไม่ได้เข้าสู่ทางธรรม เย็นวันนั้นเอง พี่สาวข้างบ้าน มาบอกว่า อ.ธีระศักดิ์ ขานอยู่ ที่เป็นครูที่ รร.ท่าลี่วิทยา เคยเห็น "เต๋า" เล่นฟุตบอลมาแล้ว อยากให้ไปเป็นนักกีฬาโรงเรียน พร้อมดูแลที่พัก ค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

 

“หลังจากที่ปรึกษากับคุณแม่อีกครั้ง ด้วยทาง อ.ธีระศักดิ์ ท่านดูแลให้หมด แถมยังมีเงินให้ใช้ถ้าจำไม่ผิดเดือนละ 1 พันบาท มันช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่เราได้ ผมเลยเลือกรับข้อเสนอสานฝันตัวเองเพื่อที่อย่างน้อยๆ จะได้เรียนจบชั้นมัธยม”

 

ชีวิตที่หักเหส่ง ดนุสรณ์ ก้าวขาสู่ตัว รร.ท่าลี่ เล่นบอลระดับจังหวัด จนกระทั่งจบมัธยม 3 ได้โอกาสไปคัดตัวทุนฟุตบอลที่ สตรีวิทยา 2 ซึ่งเป็นอะคาเดมี่ เมืองทองฯ จนได้สิทธิ์ไปตัดตัวรอบสุดท้ายที่กรุงเทพฯ หลังจากที่ปรึกษาทางบ้านอยู่พักใหญ่ คุณแม่ที่ในวันนั้นที่ไม่เชื่อว่า "ฟุตบอล" จะทำให้ชีวิตลูกชายคนเล็กมั่นคงได้ ให้เงิน 3,000 บาท เขาพกความฝันขึ้นรถทัวร์สู่เมืองหลวง

 

สมัยไปร่วมทีม พัทยา ยูไนเต็ด U19

“ตอนนั้นอายุแค่ 15 เงินก็ไม่มี ทางบ้านเองก็ไม่ได้มองว่าฟุตบอลมันจะหาเงินได้ ก็ได้คุยกับทางพี่ชาย แล้วพี่ก็โทรมาคุยกับคุณแม่ สุดท้ายคุณแม่ท่านก็ใจอ่อนให้เงินมา 3 พันบาท คืนนั้นผมไปขึ้นรถทัวร์จาก ท่าลี่ เข้า กรุงเทพฯ ทันที จำได้ว่าวันนั้นไปถึงตี 5 ครับ ได้เห็นกรุงเทพฯ ครั้งแรกมันตื่นตา ตื่นเต้น ไปหมด ก็ต่อสายหาพี่ชาย ให้บอกทางแท็กซี่ไปโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ผมไปถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กว่าจะได้คัดอีกทีก็บ่าย 3 โมงเย็นแล้ว”

 

แม้จะโดนความอ่อนล้า ตื่นเต้น เล่นงาน แต่เด็กจากท่าลี่ ยังดีพอที่จะฝ่าบททดสอบเข้มข้น 2 วันซ้อน ดนุสรณ์ ทำได้เขาได้ทุนเรียนต่อ ม.ปลาย ในโครงการช้างเผือก ที่นี่เขาได้พบรุ่นพี่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่ได้สัญญาอาชีพกับ เมืองทองฯ ตั้งแต่ มัธยม 5 มันทำให้เด็กจากที่ราบสูงมั่นใจแล้วว่าเส้นทางลูกหนังสามารถเปลี่ยนชีวิตได้

 

“ผมเข้ามา มัธยม 4 จำได้ว่า รุ่นพี่ ฐิติพันธ์ ที่เรียนอยู่ มัธยม 5 ได้เซ็นสัญญากับเมืองทองฯ แล้ว เขาได้ก้าวไปซ้อมกับสโมสรฯ ใหญ่ตั้งแต่อายุแค่นี้เอง มันยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมทุ่มเทเต็มที่ ผมเต็มที่ในทุกๆ เรื่องนับแต่นั้น เรื่องเรียนผมรู้ว่าผมพื้นฐานไม่ดีได้แต่ลูกขยัน แต่ฟุตบอลผมเชื่อว่าผมมีดีพอที่จะสู้กับทุกคนได้”

 

ดนุสรณ์ มุ่งมั่นตั้งใจ แต่ด้วยพื้นฐานที่ไม่อาจทัดเทียมบรรดาเยาวชนทีมชาติ "เต๋า" ไม่ท้อ เขาเลือกหาเวทีลับแข้งเดินสายทั่วเมืองหลวงนับแต่นั้นแม้ท้ายที่สุดโอกาสขึ้นทีมใหญ่ "กิเลนผยอง" ไม่เกิดขึ้น แต่เขาก็ได้ทุนเรียนต่อระดับอุดมศึกษาที่ ม.รัตนบัณฑิต

 

ด้วยความที่เป็นคนไม่รอคอยโอกาส คำชักชวนจากรุ่นพี่ ก็ส่งเขาสู่ดินแดนตะวันออก โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา “ตอนนั้นมีรุ่นพี่ชวนให้ไปลองคัดที่ พัทยา ชุดโค้กคัพ เราก็ไปครับ ก็ติดด้วย ตอนนั้นก็มีทาง น้าบู (ชำนาญ แพรขุนทด) คุมทีมอยู่ ซึ่งก็เป็นชุดที่คว้าแชมป์โค้กคัพ ตะวันออก สำเร็จด้วย”

 

หลังจบรายการนั้น “โค้ชบู” ไปได้งานคุมระยอง เอฟซี แน่นอนว่ากุนซือจอมแท็กติกรายนี้เลือกหนีบเด็กเมืองเลยไปร่วมงานกันต่อที่ ระยอง เอฟซี ทีมดังในดิวิชั่น 2 โซนตะวันออก อย่างไรก็ตาม "โค้ชบู" คุมทีมได้ไม่นานนักก็ลาไปตามวิถี เป็น "โค้ชชู" ชูศักดิ์ ศรีภูมิ มารับช่วงต่อแทน

 

ภายใต้สีเสื้อ ระยอง เอฟซี Cr.วัชรศักดิ์ บัวขาว

อะไรบางอย่างที่ทำให้ "โค้ชชู" เลือกมั่นใจในตัวเด็กอายุ 20 ปีคนนี้อย่างสุดใจ เขาปลุกปั้น และมอบโอกาสอย่างสม่ำเสมอ แน่นอน ดนุสรณ์ ระเบิดฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิต จบอันดับดาวซัลโว พร้อมมีส่วนร่วมพาทีมเลื่อนชั้นสู่ ดิวิชั่น 1 สำเร็จ “ต้องบอกว่าพี่ชู คือคนที่มอบทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่เป็นผมในวันนี้เลย พี่เขาเคี่ยวเข็ญผมมาก ซ้อมหนักทุกวัน และให้โอกาสผมตลอด กับเด็กอายุแค่ 20 ปี”

 

อย่างไรก็ตามสภาพร่างกายที่บอบช้ำทำให้อนาคตลูกหนังเขาสะดุด แทบไม่มีส่วนร่วมกับทัพ “ม้านิลมังกร” ในดิวิชั่น 1 เมื่ออาการเจ็บพรากเขาจากสนามไปร่วมปีครึ่ง “ผมเจ็บ 2 ครั้ง ครั้งแรกพัก 6 เดือน หายมาได้ไม่นานก็เจ็บซ้ำไปอีก 4 เดือน มันทำให้กว่าผมจะกลับมาได้อีกครั้งโอกาสในการเบียดแย่งตำแหน่งในทีมก็ดูจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากขึ้นแล้ว ผมเลยเลือกตัดสินใจออกมาหาโอกาสลงสนามกับ อุดรธานี”

 

ย้ายออกมาพิสูจน์ตัวเองกับ อุดรธานี เอฟซี ในยุคที่ยังอยู่ในไทยลีก 3 ก่อนมีส่วนร่วมในการพาทีมขึ้นสู่ไทยลีก 2 สำเร็จในปีนั้นเลย อย่างไรก็ตามหลังเลื่อนชั้นโอกาสลงสนาม "เต๋า" ลดน้อยลงไป จนในที่สุดเขาถูกปล่อยยืมมาช่วยทีมบ้านเกิด เมืองเลย ยูไนเต็ด ที่นี่เขาได้หวนกลับมาร่วมงานกับ “โค้ชบู” ชำนาญ แพรขุนทด อีกครั้ง ด้วยความที่มีคู่มือการใช้งานอยู่แล้ว บวกคุณภาพของ ดนุสรณ์ ที่ดีเกินกว่าลีกล่าง เขาระเบิดฟอร์มช่วย “นักรบเซไล” เลื่อนชั้นประวัติศาสตร์ ก่อนต่อสัญญายืมตัวอีกปีในซีซั่นนี้

ออกไปพิสูจน์ตัวเองกับ "ยักษ์แสด" Cr.Pakorn Phudtisan

กองหน้าเมืองเลย ยูไนเต็ด ที่ปีนี้ย่างเข้า 26 ปี มองย้อนกลับไปวันวานเมื่อครั้งแบกฝันเข้าเมืองหลวง และเป้าหมายในใจ“ผมผ่านอะไรมาเยอะ เงินที่คุณแม่ให้มาในวันที่เลือกเข้ากรุงเทพฯ มันเปลี่ยนชีวิตผมไปเลย เมื่อก่อนครอบครัวเราลำบากมาก แต่ทุกวันนี้เราอยู่ดีกินดีขึ้น เพราะฟุตบอลจริงๆ”

 

“นักฟุตบอลทุกคน อยากติดทีมชาติ อยากเล่นไทยลีก ผมเองก็ไม่ต่างกันครับ แต่เราจะไปได้ถึงจุดไหนมันก็ขึ้นกับเราเอง แต่อนาคตผมคิดไว้แล้วครับ ส่วนอนาคตก็เล่นไปเรื่อยๆ จนไม่ไหว”

 

 

นอกจากตัวเขาเอง ที่ยังคงมุ่งมั่น ล่าฝันส่วนตัวต่อไป ก็ยังไม่ลืมเป็นแรงบันดาลใจ เป็นแบบอย่างให้กับรุ่นน้องในหมู่บ้าน ได้กล้าที่จะฝันไม่แตกต่างจากเขาในวันวาน “เมื่อแขวนสตั๊ดแล้วก็อยากเรียนพื้นฐานโค้ชไว้บ้างครับ เพื่อเอาไปสอนน้องๆ ที่ไม่มีโอกาส อย่างผมถือว่าโชคดี แต่ผมก็ได้เห็นว่าเด็กที่บ้านผมยังมีอีกมากที่ขาดตรงนี้ไป ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ได้โอกาสไปสอนน้องๆ แถวบ้าน ผมได้เห็นตรงนี้ ก็พยายามสอนเท่าที่สอนได้ เพื่อสักวันถ้าพวกเขามีโอกาส แล้วจะทำมันได้ดี”